การ์ตูน Netflix “Big Mouth” เพศศึกษา ฉบับการ์ตูน !!

เพศศึกษา ในห้องห้องเรียนอาจจะเป็นเรื่องดูน่าเบื่อ แต่หนังการ์ตูนเพศศึกษา Big Mouth เรื่องนี้ของ Netflix ไม่น่าเบื่ออย่างแน่นอน ทั้งเนื้อเรื่องที่เสียดสีและการสอดแทรกมุกตลกรวมถึงความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศ และตอนนี้มีทั้งหมดด้วยกัน 3 ซีซั่นแล้ว

ค่านิยมของคนไทย

เรื่องเพศดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวและถูกทำให้มองว่าเป็นเรื่องน่าอายไม่ว่าจะในแง่มุมใดๆ แต่ทั้งๆที่จริงแล้วเรื่องเพศเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับทุกคน การสร้างความรู้ความเข้าใจได้ถูกจำกัดอยู่ภายในห้องเรียน แม้กระทั่งการหาคำปรึกษาเรื่องเพศจากคนในครอบครัวก็กลายเป็นเรื่องที่ยากและน่ากระอักกระอ่วน ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วนั้น

การเพิกเฉยต่อความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเพศนั้น นำไปสู่ความเข้าใจผิดๆมากมาย จนกลายเป็นประหาในระดับสังคมและประเทศ เพราะฉะนั้นการ์ตูนเรื่องนี้จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอีกทางในการสร้างความเข้าใจเรื่องเพศในสังคมไทย

เหล่าตัวละครหลัก

การ์ตูน  บิ๊ก เมาท์ นี้เป็นเรื่องราวของวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงที่ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งตัวละครหลักจะประกอบไปตัว Nick Birch เด็กหนุ่มที่ในซีซั่นแรกยังไม่แตกเนื้อหนุ่ม เขามีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มเพื่อน นอกจากนี้เขายังเตี้ยที่สุดในกลุ่มเพื่อน และตัวละครของเขายังเป็นตัวละครที่ตกหลุมรักผู้หญิงหลายคนในเรื่องนี้ Andrew Glouberman หนุ่มผมสีน้ำตาลแดงเช่นเดียวกับดวงตาของเขา เขาสูงอ้วนเล็กน้อยและมักจะสวมแว่นตาขนาดใหญ่เสื้อเชิ้ตสีเขียวและกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน Jessi Glaser เป็นตัวละครผู้หญิงที่ฉลาดและป็อปปูล่า Jay Bilzerian เด็กหนุ่มผู้หมกหมุ่นในการช่วยตัวเอง และ Missy Foreman-Greenwald เธอเป็นเด็กสาวที่ฉลาด มีความสนใจใคร่รู้ในเรื่องเพศ นอกจากนี้ตัวละครของเธอยังมีความสัมพันธ์บางอย่างกับแอนดรูว์อีกด้วย โดยแต่ละตัวละครนั้นก็จะมี Hormone Monster ซึ่งเป็นเหมือนเสียงที่อยู่ในหัว และเป็นเหมือนเพื่อนที่คอยให้คำแนะนำ

เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ

การ์ตูนเรื่องนี้มีการนำเสนอประเด็นทางเพศศึกษาหลายๆประเด็นทั้งหญิงและชาย ช่วยทำให้เหล่าตัวละครวัยรุ่นในเรื่องนั้นได้ทำความรู้การเปลี่ยนแปลงต่างๆของสภาพร่างกายและจิตใจ พร้อมทั้งวิธีรับมือที่ถูกต้อง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการป้องกันกับการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งในการ์ตูนได้มีการสร้างภาพตัวอย่างให้คนดูเข้าใจได้ง่ายและชาญฉลาด เรื่องของประจำเดือนที่ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ นอกจากเรื่องราวของเกี่ยวกับเพศแล้ว ในการ์ตูนเรื่องนี้ยังมีการนำเสนอเรื่องราวของความสัมพันธ์ในครอบครัว และปัญหาด้านสุขภาพจิตอีกด้วย เรื่องราวได้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างมีชั้นเชิง สอดแทรกไปด้วยมุกตลก สร้างความสนุกสนานสมกับเป็นความบันเทิงฉบับการ์ตูน แต่ก็นำเสนอเนื้อหาทางเพศได้อย่างตรงไปตรงมาและเข้าใจง่ายด้วยเช่นกัน

ข่าวหนัง ข่าวภาพยนตร์

หนังเข้าใหม่น่าดู Ep.3

สวัสดีค่ะ กลับมาพบกันอีกแล้วววว และก็กลับพบกับหนังเข้าใหม่น่าดูประจำเดือนตุลาคม และในครั้งนี้เราจะขอให้เพื่อน ๆ เตรียมความพร้อมของร่างกาย โดยเฉพาะ ‘ขา’ ให้แข็งแรง เพราะว่าเราจะพาไปวิ่งหนีซอมบี้!!!

มาที่เรื่องแรก Zombieland: Double Tap ซึ่งเป็นภาคต่อของ Zombieland (2009) ที่แก๊งป่วนไล่ฆ่าซอมบี้จนไปถึงทำเนียบขาว ที่ดันมีบุคคลที่รับมือยากกว่าซอมบี้ซะอีก เรียกได้ว่าเหนื่อยกับซอมบี้แล้วยังต้องมาเหนื่อยกับคนอีก

ในภาคแรกไม่ได้เปรี้ยงปร้างอย่างที่ควรแต่ก็ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เป็นจำนวนมากถึงฉากแอคชั่น ต่อสู้และยังแทรกการเสียงสีสังคมได้แบบสะใจเลยทีเดียว

Zombieland: Double Tap เข้าโรงภาพยนตร์ในวันที่ 18 ตุลาคมนี้ ไปให้กำลังใจแก๊งป่วนนี้กันได้นะคะ

Youtube: https://www.youtube.com/watch?v=h73KY-mPeIk

Little Monster

หนังซอมบี้ที่แหวกแนวไปจากเดิม เพราะมาในแนวตลกคอมเมดี้ ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคุณครูอนุบาลได้พาเด็ก ๆ ไปเที่ยวทัศนศึกษา แต่ไม่รู้ว่าที่เที่ยวตรงนั้นมีซอมบี้!!! โอ้มายก็อดดดด ทำให้คุณครูต้องหาวิธีที่ไม่ทำให้เด็ก ๆ กลัว จึงบอกไปว่าซอมบี้ที่เด็ก ๆ เห็นเป็นของปลอมมม ฮ่าฮ่า และเขาอยากจะเล่นซ่อมแอบกับเรา อยากให้เด็ก ๆ เล่นเป็นเพื่อนเขาหน่อย

เรียกว่าเรื่องนี้มีครบทุกอารมณ์ แอ็คชั่น สยดสยอง และความฮากับเด็กน้อยผู้น่ารัก ฮ่าฮ่า สามารถไปให้กำลังใจคุณครูและแก๊งเด็กน้อยให้รอดพ้นจากซอมบี้โหดร้ายได้ทุกโรงภาพยนตร์ ซึ่งจะเข้าฉายวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ค่ะ

Youtube: https://www.youtube.com/watch?v=lHuj-nCLuak

เป็นหนังซอมบี้ที่ไม่น่าพลาดเลยนะคะ เป็นกำลังใจให้กับทุกคนในการต่อสู้กับซอมบี้!!!

มาแล้ว!!! Marvel Studios Phase 4

หลังจากที่ Avengers: Endgame เรื่องสุดท้ายของ Phase 3 ได้จบลงไปอย่างสวยงาม ถึงแม้จะต้องเสียบุคคลอันเป็นที่รักอย่าง โทนี่ สตาร์ค และ นาตาชา โรมานอฟ แต่ก็ได้สร้างความอิ่มเอมและความประทับใจแบบไม่รู้ลืมให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก

แต่จักรวาลมาเวลไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ เพราะทาง MCU ได้เดินหน้าสร้าง Phase 4 อย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องราวใหม่ ตัวละครใหม่ รับรองแฟน ๆ มาเวลไม่ผิดหวังแน่นอน

ซึ่งทาง MCU ได้ออกมาเผย 10 รายชื่อหนังและซีรี่ส์ใน Phase 4 ดังนี้

– Black Widow เริ่มฉายวันที่ 1 พฤษภาคม ปี 2020

– Falcon and the Winter Soldier เริ่มฉายในช่วง Fall 2020

– The Eternals เริ่มฉายวันที่ 6 พฤศจิกายน ปี 2020

– Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings เริ่มฉายวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปี 2021

– WandaVision เริ่มฉายในช่วง Spring ปี 2021

– Loki เริ่มฉายในช่วง Spring ปี 2021

– Doctor Strange and the Multiverse of Madness เริ่มฉายวันที่ 7 พฤษภาคม ปี 2021

– What If เริ่มฉายในช่วง Summer ปี 2021

– Hawkeye เริ่มฉายในช่วง Fall ปี 2021

– Thor: Love and Thunder เริ่มฉายวันที่ 5 พฤศจิกายน ปี 2021

ส่วน Fantastic Four และ X-Men ที่มาจาก Fox ยังไม่มีการพูดถึงแต่อย่างใด แต่อีกหนึ่งเรื่องที่น่าจับตาก็คือ Blade นักล่าแวมไพร์ จะนำมาสร้างใหม่อีกครั้ง แต่ยังมีนักฆ่าคนใหม่รับบทโดย Mahershala Ali ที่ว่ากันว่าหน้าเหมือน Wesley Snipes อย่างกับฝาแฝด

และในเรื่อง Thor: Love and Thunder เราจะได้เห็น Thor ในร่างผู้หญิง และยังได้ Natalie Portman กลับมาร่วมแสดงอีกครั้งด้วย

ใน Phase 4 นี้ ทาง MCU ยังลงซีรี่ส์ใน Streaming น้องใหม่อย่าง Disney+ ด้วย ซึ่งจะมี 5 เรื่อง ได้แก่ Falcon and the Winter Soldier, WandaVision, Loki, What If และ Hawkeye

แต่ละเรื่องน่าติดตามทั้งนั้นเลยใช่มั้ยละคะ รอแค่ไม่กี่อึดใจก็จะได้ชมกันแล้ว แฟน ๆ มาเวลห้ามพลาดเลยยยยย

REVIEW Doraemon The Movie 2019 – โนบิตะสำรวจดินแดนจันทรา

มาถึงมูฟวี่ลำดับที่ 39 จากสุดยอดการ์ตูนอมตะตลอดกาลอย่างโดเรม่อนที่มีการภาคเดอะมูฟวี่มาตลอดตั้งแต่ปี 1980  จนกลายเป็นธรรมเนียมการออกภาคเดอะมูฟวี่ จนเป็นธรรมเนียมกันไปแล้ว  ตำนานยอดฮิตอย่าง แมวสีฟ้า กับ โดเรม่อนเดอะมูฟวี่ 2019 โนบิตะสำรวจดินแดนจันทรา

เรื่องย่อ

         สำหรับเรื่องนี้พล็อตหลักจะอยู่ที่การนำตำนานกระต่ายบนดวงจันทร์มาปูเรื่องผสมผสานกับตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่นเจ้าหญิงคางุยะ โดยจุดเริ่มความวุ่นวายเรื่องทั้งหมดเกิดจากที่โนบิตะไปเห็นข่าวว่ามีการจับภาพเงาลึกลับสีขาวได้ที่ดวงจันทร์ ซึ่งตัวเอกของเรา โนบิ โนบิตะ เชื่อเป็นตุเป็นตะว่านี้คือกระต่ายบนดวงจันทร์แน่นอน แต่แน่นอนพอไปพูดกับเพื่อนรักของเขาก็จะถูกเพื่อน ๆ หัวเราะเยาะกลับมา และไปข้อร้องให้โดเรม่อนทำอะไรสักอย่าง โดเรม่อนจึงได้เอาของวิเศษที่มีชื่อ “เข็มกลัดชมรมต่างความคิด”  จึงได้เดินทางไปอีกฟากหนึ่งของความมืดมิดของดวบงจันทร์  และทั้งสองจึงได้สร้างอาณาจักรกระต่ายขึ้นมา และกลับมาที่โลกเพื่อที่จะพาเพื่อไปชมอาณาจักรกระต่าย แต่พอกลับมาโลกกับได้พบ “ลูกะ” ชายปริศนาที่ย้ายมาเรียนที่เดียวกับโนบิตะ และเรื่องวุ่นวายทั้งหมดจึงได้เกิดขึ้นต่อจากนี้

ความแตกต่างและการเติบโตของตัวละครจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน

         เมื่อเทียบโดเรม่อนในภาคเก่า ๆ และเริ่มเข้าสู่ช่วงปี 2000 จะพบความแตกต่างมากขึ้นทั้งการเล่าเรื่อง ตัวละครที่ค่อยเติบโตขึ้นไป และค่อย ๆ เปลี่ยนแนวจาก อ.ฟูจิโกะ ออกไป ซ฿งการเดินออกมาจากทางเก่าไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ ก็ยังถือว่ารักษามาตรฐานได้ดีแต่โดเรม่อนในแบบ อ. ฟูจิโกะ ก็ยังดีแพ้กัน (ดีคนละแบบ)  แต่พอมาในภาคนี้ ชิโนซึเกะ ซาคุวะ สามารถสื่อโดเรม่อน ในนภาคนี้ออกมาได้ดีมากไม่ว่าจะเป็นการเดินเรื่อง การสอดแทรกมุขแบบ อ.ฟูจิโกะ  แต่กลับไม่ทิ้งความร่วมสมัยไปด้วยเช่นกัน ซึ่งเราจะได้เห็นการเติบโตของตัวละครในภาคนี้อย่างมาก โดยเพื่อนรักของโนบิตะจะดูมิติขึ้นมากจากภาคก่อน ๆ โดยเฉพาะชิซูกะ ทีมีชั้นเชิงงมากขึ้น ให้อารมณ์เหมือนผู้หญิงที่โตขึ้น และมีชั้นเชิงในการอ่อยตัวละครเพศผู้มากขึ้น (ฮ่าๆ ) ซึ่งถ้าหากเทียบกับยุค 80 แล้ว เหมือนกับเป็น ชิซุกะคนละคนเลยทีเดียว

เปิดมิติของตัวละครมากขึ้น

            ในภาคนี้จะเห้นได้ว่ามีการนำตัวละครที่มีแววว่าจะเป็น  LGBT  หรือ คนมีความหลากหลายเพศเข้ามาซึ่งในสส่วนนี้ใครที่ยังไม่ได้ดูผมจะขอปิดไว้ก่อนเพื่อกันสปอยคนที่ยังไม่ได้ดู แต่นี้คือการเปิดมิติใหม่ของตัวละครอย่างมาก แต่ไม่ใช่ว่าในหนังเขาจะมาบอกรักกันโต้ง ๆ นะครับ แต่จะเป็นการแสดงออกทางอารมณ์และสีหน้ามากกว่าให้ผู้ชมไปจิ้นกันเอาเอง (ฮ่าๆ ) แต่ถือว่านี้เป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่มาในทางที่ดีที่เป็นหนังอมตะตลอดกาลที่ต้องมีการนำการร่วมสมัยมาใช้ด้วยกัน เพื่อไม่ให้คนดูเบื่ออะไรที่ซ้ำซาก

ทิ้งท้ายก่อนจาก

Doraemon The Movie 2019  โนบิตะสำรวจดินแดนจันทรา ยังคงรักษามาตรฐานของหนังอมตะได้ดี อย่างเสมอต้นเสมอปลาย โดยสามารถทำให้เด็กในยุค 70-80 เสียเงินไปดูแล้วไม่มีคำว่าเสียดายเงินแน่นอน  ที่เด็กในยุคนั้นตอนนี้โตมากันแล้วมีลูกกันหมดแล้วก็ยังสามารถพาลูกมาดูการ์ตูนที่ตัวเองชชอบได้และยังได้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ และนี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เราตกหลุมรักเจ้าแม่สีฟ้าตัวนี้ เพราะไม่ว่าจะนานขนาดไหน เจ้าหุ้นยนต์แมวสีฟ้าก็ยังงเป็นการ์ตูนที่ติดตรา และตรึงใจ เรามาตลอดกาล

JOKER กับภาพสะท้อนของสังคมในปัจจุบัน

            ช่วงนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนกระแสของหนัง Joker ก็กำลังดังไปทั่วโลกทั้งโลกความจริง หรือ ในโลกอินเตอร์เน็ตไปเสียแล้วนะครับ ซึ่งผมก็ยอมรับว่าตัวเองคือหนึ่งคนที่พาตัวเองไปนั่งรอต่อคิวซื้อตั๋วตั้งแต่วันแรก ซึ่งก็ไม่เถียงเลยนะครับว่าหนังเรื่องนี้ที่รอคอยกันมานานสมน้ำสมเนื้อกับการรอคอยจริง ๆ

            แต่พอหันไปทางไหนก็เจอรีวิวกันเต็มไปหมด ครั้นเราจะไปรีวิวก็จะช้ำรอยเขา และแล้วระหว่างที่เราดูหนังและซึมซับอารมณ์ของหนังอยู่ ความคิดก็แว๊ปเข้ามาในหัวว่า “เฮ้ย นี้มันมีเรื่องประเด็นปัจจุบันด้วยหรือเปล่า”  หรือว่าจริง ๆ แล้ว ? หนังเรื่องนี้จะสะท้อนอะไรหลาย ๆ อย่างมากกว่าที่เราเห็น กันแน่ ?

ความเหลื่อมล้ำของสังคม

            ข้อนี้มีให้เห็นกันแน่นอนในหนังเหตุผลที่ทำให้คนดี ๆ อย่างอาเทอร์ ของเราผู้ที่พยายามปั้นหน้ายิ้มตลอดเวลา แต่กลับโดนสังคมทำร้าย รังแก ช้ำแล้วช้ำเล่า บาดแผลที่ค่อย ๆ ถูกกรีดให้ลึกลงทีละนิด ทีละนิดในที่สุดฟางเส้นสุดท้ายก็ได้ขาดสะบั้น

จึงทำให้ชายหนุ่มธรรมดากลาย เป็นผู้ป่วยทางจิต ที่มีความบกพร่องทางด้านจิตใจ และต้องการหาที่ระบายออกจากความคับแค้น แต่การแสดงออกของเขากลับมาแสดงออกในการสร้างอาชญากรรม ซึ่งถ้าหากมองในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว

            โลกเราก็มีประเด็นอย่างนี้อยู่มากมายพอสมควร ซึ่งความเหลื่อมล้ำของสังคมสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางจิตแล้วโดนรังแกนี้เหมือนตกนรกทั้งเป็น ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ นะครับ ว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้าในโลกของเราก็คือ Joker แบบในหนัง เพียงแต่ว่าการแสดงออกของคนที่เป็นโรคนี้จะไม่ใช่การก่ออาชญากรรม แต่เป็นการที่ทำให้ตัวเองหายไปแทน

หรือจริง ๆ แล้ว Joker คือตัวแทนกระบอกเสียงให้ทุคนเข้าใจในตัวพวกเขามากขึ้น

            ถ้าหากเราพยายามมองลึกลงไปในแววตา และจิตใจ ของตัวละครนี้ เขาก็เป็นเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่ต้องการความรัก ความเอาใจใส่ ซึ่งเขาต้องการแค่นั้น

แต่สังคมที่เขามีกลับทำร้ายเขา ให้เจ็บปวดทรมาน สุดท้ายแล้วเขาเลยเลือกที่จะแสดงออกเพื่อเรียกร้องความสนใจและความแค้นที่สุมอยู่ในอก จนในที่สุดก็ประทุกออกมา

            และผู้คนในโลกแห่งความจริงที่กำลังมองโลกในแบบที่ Joker ในหนังเห็นละเขาจะทำแบบในหนังได้หรือเปล่า ? คำตอบคือไม่ได้ สุดท้ายเขาอาจจะเลือกอีกทางที่ตรงข้ามกับในหนังคือไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเลยก็ได้

เราเข้าใจเขาได้ เขาอาจจะไม่ทำอย่างนั้นก็ได้

            ผมไม่ได้หวังว่าบทความนี้จะดังไปไกล ขนาดไหน ผมแค่ตีความหมายของหนังออกมาในรูปแบบที่เป็นความจริงที่สุด ซึ่งผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเป็นประเด็นในโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก และบางเคสก็โดนล้อบ้าง บางทีความสนุกเพียงเล็กน้อยของเราอาจจะทำให้จิตใจของใครบางคนพังทลายไปเลยก็ได้

            เพราะฉะนั้นผมคิดว่าบางทีเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องของจิตใจบางทีเราไม่ควรเอามาล้อเล่นกันนะครับ เพราะบางทีสักวันหนึ่ง เราอาจจะเห็น Joker ในแบบชีวิตจริงก็เป็นได้นะครับ Ha HA HA

ขอบคุณรูปภาพสวย ๆ จาก

https://batman-news.com/2019/07/08/todd-phillips-joker-source-material/
https://www.sanook.com/movie/91275/?fbclid=IwAR00G0avhA09DrNjcBlKGYNiKXKVnYRQYhFUc4LC8lVX6z-Tbkp_JkbqD5I
https://adaymagazine.com/joker-recommend-movie/?fbclid=IwAR2NL8QWElImVSaK33C1GmRGc1HJpqXiL_D2DTMbGcDjuqPHBoaNzLRavl4

BRAVE FATHER ONLINE : OUR STORY OF FINAL FANTASY XIV

ภาพยนตร์พล็อตสุดล้ำ แต่สร้างมาจากเรื่องจริงในบล็อกของผู้เล่นเกมรายหนึ่ง ที่เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อ

ที่เริ่มถอยหลังลง ฝั่ง “พ่อ” กลายเป็นคนติดเกมและเก็บตัวอยู่ในห้องตลอดเวลา ทางเดียวที่ “ลูกชาย” จะเข้าถึงตัวพ่อได้ คงมีแค่การเข้าไปพูดคุยผ่านเกม “Final Fantasy XIV” แบบไม่เปิดเผยตัวตน

จึงเกิดเป็นภารกิจสุดล้ำ ที่พร้อมจะพาพวกเราไปนั่งน้ำตาคลอ กับความสัมพันธ์ของทั้งสอง หนังเรื่องนี้เป็นการนำซีรี่ส์ “Final Fantasy XIV : Dad of Light” ที่เคยฉายใน Netflix มาทำใหม่ ให้มีความน่าติดตามขึ้น โดยผู้กำกับคนเดิม ดูพร้อมกัน วันที่ 26 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

BraveFatherOnline

Credit : a day bulletin