[รีวิวหนัง] His house บ้านของใคร หนังสยองขวัญที่จะทำให้คุณขนหัวลุกก่อนนอน

His house หรือในชื่อภาษาไทยว่า บ้านของใคร เป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่สร้างขึ้นโดย Netflix เป็นเรื่องราวของครอบครัวชาวผิวสีที่หนีสงครามมาอยู่ในที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งทางการเป็นคนจัดบ้านให้อาศัยอยู่ ซึ่งก่อนหน้าที่ทั้งคู่จะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ทั้งคู่เคยมีลูกสาว 1 คน แต่ก็ต้องสูญเสียลูกสาวไประหว่างการเดินทาง

ทั้งคู่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านที่ทางรัฐจัดสรรให้สำหรับผู้ลี้ภัย โดยมีข้อแม้ว่าต้องอยู่ที่นี่ตลอด ด้วยความที่ไม่มีทางเลือกจึงจำเป็นต้องอยู่ หลังจากที่เข้ามาอยู่ ทั้งคู่ก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับบ้านหลังนี้ พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าคน เสียงประหลาดจากอะไรก็ไม่รู้ได้ จนนำมาสู่เหตุการณ์สยองขวัญที่ตามมา

สิ่งที่น่าสนใจในเรื่อง His house

ถึงแม้ว่าว่าเรื่อง His house อาจจะไม่ค่อนได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ แม้แต่คะแนนใน IMDB ก็ได้ไปเพียง 6.4 เท่านั้น แต่เราต้องบอกเลยว่า เรื่องนี้เป็นหนังที่หลอนใช้ได้เลย อย่างในเรื่องของบรรยากาศที่มีให้ความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะมุมหนึ่งของโลกกำลังร้อนเป็นไฟจากสงคราม ส่วนอีกมุมนึงก็สงบสุขราวกับเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุด อย่างตัวละครเอกของเรื่องอย่างรีอัลกับโบล ที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่อังกฤษก็คิดว่ามันเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย แต่ว่าต้องมาเจอเรื่องที่ดูเหมือนจะร้ายแรงพอ ๆ กับสงคราม มันคือเรื่องของสิ่งที่มองไม่เห็น ฉะนั้น มันเลยเป็นความอึดอัดใจของตัวละครเอกที่ต้องเลือกระหว่าง 2 สิ่ง คือทนอยู่ในบ้านหลังนี้แต่ต้องเจอกับเรื่องประหลาดหรือกลับไปประเทศตัวเองแต่ต้องผจญกับสงคราม เป็นทางเลือกที่เรียกได้ว่า ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะไม่สามารถไปทางอื่นได้แล้ว

พูดถึงสิ่งที่ประทับใจไปแล้ว มาถึงสิ่งที่ไม่ค่อยประทับใจบ้างดีกว่า สิ่งที่ไม่ค่อยชอบสำหรับหนังเรื่อง คือ การกำกับและใส่ซาวด์ อย่างเรื่องของการกำกับ มันจะมีหลายฉากที่ผู้กำกับจงใจทำให้ตกใจตามสไตล์หนังสยองขวัญ แต่สำหรับเราคิดว่ามันไม่ค่อยถูกจังหวะ บวกกับการใส่ซาวด์ที่ยัดเหยียดใส่มาให้ดูหลอน แต่จังหวะการใส่มันผิดจังหวะกับเหตุการณ์ จนทำให้ดูตลกและไม่เกิดความรู้สึกน่ากลัวเลยสักนิด แต่มันกลับดูแล้วน่ารำคาญมากกว่า

ถ้าถามความรู้สึกของฉันต่อหนังเรื่อง His house ต้องขอบอกเลยว่า ดูได้ไม่เสียหาย เนื้อเรื่องน่าสนใจใช้ได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะเป็นหนังดีขึ้นหิ้งขนาดนั้น

วิดีโอเพิ่มเติม :

คะแนนรีวิว : 6/10

เครดิตภาพปกโดย playinone

#His house #รีวิวหนัง Netflix #หนังสยองขวัญ

แนะนำหนังดีเรื่อง The godfather


            อีกหนึ่งภาพยนตร์ชื่อดังระดับตำนานกับ The godfather ที่ถึงแม้จะถูกฉายออกมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ความสนุกของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังคงถูกพูดถึงอยู่เสมอ เพราะไม่ใช่แค่เนื้อเรื่องที่สนุกและเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ช่วยทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ อย่างการได้นักแสดงนำอย่าง “มาร์ลอน แบรนโด” มารับบทเจ้าพ่อมาเฟียสุดโหด ก็เรียกกระแสตอบรับจากแฟน ๆ ได้เป็นอย่างดี

เรื่องย่อของภาพยนตร์เรื่อง The godfather


            เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงหลังสงคราม ซึ่งในตอนนั้นเต็มไปด้วยการคอรัปชั่นมากมาย “วีโต คอร์เลโอเน” เจ้าพ่อมาเฟียที่ได้รับสมญานามว่า “ก็อดฟาเธอร์” โดยเขามีลูกชายบุญธรรมสองคน ได้แก่ “ทอม เฮเกน” ที่รับหน้าที่เป็นทนายประจำตัวของวีโต และ “จอห์นนี่ ฟอนเทน” ที่มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดง วีโตที่อยากให้ลูกชายสมหวังก็ได้วานให้ทอมจัดการทุกอย่างให้ ซึ่งเมื่อภารกิจเสร็จสิ้นไป วีโตก็ได้รับคำเชิญจากพ่อค้ายารายใหญ่อย่าง “ซอลอสโซ่” ที่อยากจะขอความร่วมมือจากวีโต แต่วีโตเองก็เป็นมาเฟียที่มีตำรวจหนุนหลัง หากเขาเข้าร่วมมือกับซอลอสโซ่ เขาก็จะเสียกำลังตำรวจไป ทำให้วีโตเลือกที่จะปฏิเสธ และเกิดเป็นความวุ่นวายตามมา การตามล่าล้างแค้นระหว่างผู้มีอิทธิพล การทรยศหักหลังที่มาพร้อมกับความสัมพันธ์ที่ยากจะหลีกเลี่ยง นี่คือช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองของยุคมาเฟียและกำลังดำดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดอย่างฉุดไม่อยู่

สิ่งที่น่าสนใจในภาพยนตร์เรื่อง The godfather

            สิ่งที่น่าสนใจภายในภาพยนตร์เรื่อง The godfather ก็คือการสร้างตัวละครภายในเรื่อง ที่ทำให้รู้สึกดูแล้วเชื่อว่าพวกเขาคือเหล่าผู้มีอิทธิพลจริง ๆ ทำให้เข้าถึงบรรยากาศความตึงเครียดและความมีอำนาจบางอย่างได้เป็นอย่างดี สำหรับใครที่ชื่นชอบภาพยนตร์ที่หักเหลี่ยมกันไปมา หลอกลวงแบบแผนซ้อนแผน แก้เผ็ดกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน คงจะรู้สึกชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะการแสดงที่เต็มไปด้วยการเจรจาเชือดเฉือน หรือการโจมตีกันและกันระหว่างเหล่าผู้มีอิทธิพล ต่างก็ทำออกมาได้อย่างสมจริง ทำให้ความสนุกตื่นเต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้สูงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้รวบรวมนักแสดงมากฝีมือมาประชันบทบาทกันอย่างได้อรรถรสอีกด้วย

            The godfather เป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การรับชมสักครั้ง ด้วยรางวัลการันตีความดีงามของภาพยนตร์เรื่องนี้ บวกกับกระแสตอบรับจากแฟน ๆ ที่มีการพูดถึงกันในแง่บวกเป็นหลัก พร้อมกับการให้คำวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญถึงความมีคุณภาพคับแก้ว ดังนั้นจึงไม่ควรพลาดกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอันขาด

วิดีโอตัวอย่าง :

#The godfather #The godfatherตำนาน #ต้องดูก่อนตาย

แนะนำ 5 ภาพยนตร์อนิเมชั่นจากสตูดิโอ Ghibli

เอาใจสายหนังภาพยนตร์อนิเมชั่นกันบ้าง กับผลงานการสร้างสุดยอดเยี่ยมจากสตูดิโอชื่อดังแห่งแดนปลาดิบอย่าง “Studio Ghibli” ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้สร้างอนิเมชั่นคุณภาพแห่งยุคนี้ มีผลงานอนิเมชั่นที่น่าสนใจอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งผลงานต่าง ๆ มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง โดยเฉพาะลายเส้นที่ทำให้ใครต่อใครก็ต่างสามารถจดจำได้ว่าเป็นผลงานจาก Studio Ghibli อย่างแน่นอน ซึ่งในบทความครั้งนี้ก็จะมาแนะนำอนิเมชั่นดี ๆ จากค่ายผู้สร้างชื่อดังค่ายนี้

เรื่องที่ 1 Spirited away

            เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงวัยเพียง 10 ขวบนามว่า “จิฮิโระ” เธอได้ค้นพบโลกอีกใบที่ถูกเรียกว่ามิติลึกลับ จากนั้นเธอก็ต้องสูญเสียพ่อแม่ที่กลายร่างเป็นหมู และต้องคอยหลบหนีจากวิญญาณสุดพิศวงที่มีอยู่เต็มไปหมด แต่แล้วเธอก็ยังโชคดีและได้รับความช่วยเหลือจากเด็กชายเทพมังกร ทำให้เธอได้ทำงานในโรงอาบน้ำแม่มด ในระหว่างนั้นเธอก็ได้สร้างมิตรภาพดี ๆ ขึ้นกับวิญญาณรอบตัว และพยายามตามหาหนทางในการถอนผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Grave of the Fireflies
คำสาปให้ผู้เป็นพ่อแม่ต่อไป

เรื่องที่ 2 สุสานหิ่งห้อย (Grave of the Fireflies)

อนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามารถเรียกน้ำตาจากผู้ชมได้แบบไม่ขาดสาย เพราะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กน้อยสองคนที่ต้องเผชิญกับความโหดร้ายของโลกใบนี้ตามลำพัง ว่าด้วยการเดินทางของ “เซตะ” เด็กชายวัย 14 ปี และ “เซซึโกะ” น้องสาววัย 5 ขวบ และปลายทางของเรื่องราวความลำบากที่ต้องเจอก็คือการสูญเสียที่เล่นเอาใจคนดูสลายกันมาแล้วทั่วโลก

เรื่องที่ 3 โทโทโร่เพื่อนรัก (My Neighbor Totoro)

ภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้มีตัวละครที่เป็นที่จดจำกันเป็นอย่างดี อย่าง “โทโทโร่” ซึ่งมีกระแสตอบรับจากผู้คนทั่วโลกจำนวนมาก เนื้อเรื่องเกี่ยวกับสองพี่น้อง “ซัทสุกิ” และ “เมย์” ที่ได้พบกับเทพอารักษ์โทโทโร่ และวันเวลาอันแสนเงียบเหงาก็ถูกแทนที่ด้วยความสุขและรอยยิ้มที่จะอุ่นหัวใจของผู้ชมให้รู้สึกมีความสุขไปพร้อม ๆ กัน เป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของ Studio Ghibli ไปเป็นที่เรียบร้อย

เรื่องที่ 4 Whisper of the heart

            สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักแบบเด็ก ๆ ที่น่ารักและอบอุ่นหัวใจเป็นอย่างมาก เมื่อเด็กหญิงคนหนึ่งผู้รักการอ่าน ได้ค้นพบว่าเธอมักจะยืมหนังสือทุกเล่มหลังจากเด็กชายคนหนึ่งเสมอ ซึ่งพวกเขาก็มีความฝันที่แตกต่างกันไป ในวันที่พวกเขาได้พบกันและเรียนรู้กันและกัน และถึงแม้จะต้องแยกจากกัน แต่การแยกจากนั้นจะไม่เจ็บปวดสำหรับพวกเขา หากพวกเขารักที่จะเห็นอีกคนตามันได้สำเร็จ

เรื่องที่ 5 Howl’ s Moving castle

            เป็นอนิเมชั่นแนวแฟนตาซีอีกเรื่องที่ได้รับกระแสตอบรับดีมาก ๆ โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง ที่ต้องถูกสาปให้กลายเป็นคนแก่ เพียงแค่เพราะถูกแม่มดนิสัยไม่ดีหมั่นไส้ แต่การถูกสาปครั้งนี้ก็ทำให้เธอได้พบกับพ่อมดหนุ่มรูปหล่ออย่าง “ฮาวล์” ที่ถึงแม้จะเห็นว่าเธอเป็นยายแก่ ๆ แต่ก็ยังมีจิตใจที่อ่อนโยนและคอยให้ความช่วยเหลือเธอเสมอ จนเกิดเป็นเรื่องราวความรักขึ้นระหว่างทั้งคู่ และแน่นอนว่าภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้ทำให้ผู้ชมได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่า ความรักเกิดขึ้นได้โดยไม่เลือกว่าภายนอกจะเป็นเช่นไร

            และทั้งหมดนี้ก็คือ 5 ภาพยนตร์อนิเมชั่นจาก Studio Ghibli ที่ในชีวิตนี้ควรดูสักครั้ง แต่ละเรื่องก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง และมีความเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับอนิเมชั่นที่ถูกสร้างสรรค์โดยสตูดิโอคุณภาพชื่อดัง ใครที่ยังไม่รู้ว่าจะดูอะไรดีในช่วงวันหยุด ต้องลองเปิดใจให้กับภาพยนตร์อนิเมชั่นของค่ายนี้ดูสักครั้ง รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

#Studio Ghibli #สุดยอดอนิเมชั่น Ghibli #อนิเมชั่นญี่ปุ่นแนะนำ

แนะนำหนังดีชุด Twilight

            เอาใจแฟนภาพยนตร์ที่ชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานแวมไพร์กันบ้าง กับภาพยนตร์ชุด Twilight ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความรักจากผู้ชมมากมายทั่วโลก ไม่กว่าจะกลับดูสักกี่ครั้งก็ยังรู้สึกฟินกับความโรแมนติกระหว่างความรักที่เกิดขึ้นกับมนุษย์และแวมไพร์เสมอ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างมาจากนวนิยายชื่อดังที่มีชื่อเดียวกัน ถูกสร้างออกมาทั้งสิ้น 5 ภาคด้วยกัน ประกอบไปด้วย Twilight, The Twilight Saga : New moon, The Twilight Saga : Eclipse, The Twilight Saga : Breaking dawn Part 1 และ The Twilight Saga : Breaking dawn Part 2

เรื่องย่อของภาพยนตร์ชุด Twilight

เรื่องราวของหญิงสาวนามว่า “เบลล่า สวอน” เธอได้ถูกย้ายให้มาอยู่กับพ่อที่เมืองฟอร์คส และทำให้เธอได้พบกับหนุ่มหล่อนิสัยประหลาดอย่าง “เอ็ดเวิร์ด คัลเลน” ก่อนจะค้นพบความจริงว่าเอ็ดเวิร์ดไม่ใช่คนธรรมดาจากเหตุการณ์ที่เขาเข้ามาช่วยเธอจากการเกือบถูกรถชน ซึ่งเบลล่าก็ได้พยายามหาความจริงเกี่ยวกับเอ็ดเวิร์ดจนรู้เข้าว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นแวมไพร์ จากนั้นเบลล่าก็ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับศึกสงครามในเผ่าพันธุ์และระหว่างเผ่าพันธุ์ และยังมีอีกหนึ่งหนุ่มที่ตกหลุมรักเบลล่าอย่าง “เจคอป แบล็ค” ซึ่งเป็นมนุษย์หมาป่าที่เป็นเพื่อนกับเบลล่ามาอย่างยาวนาน เกิดเป็นความรักสามเส้าและเรื่องราวการต่อสู้ขึ้นมากมาย

สิ่งที่น่าสนใจในภาพยนตร์ชุด Twilight

            สิ่งแรกที่ทำให้รู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้น่าสนใจ ก็คงเป็นการเลือกนักแสดงมารับบทบาทหลักของเรื่อง ที่สามารถเลือกออกมาได้ดี รับบทการเป็นแวมไพร์ที่ทำให้คนเชื่อได้จริงว่ามาตรฐานการเป็นแวมไพร์ตามตำนานที่ดูไม่หลุดโลกจนเกินไปเป็นอย่างไร แต่ต้องยอมรับจุดหนึ่งว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะยังไม่มีคุณค่าในด้านแง่คิดของการใช้ชีวิตสักเท่าไหร่ เพราะเหมาะจะเป็นหนังรักแฟนตาซีที่ทำให้ใจคนดูเต้นแรงเสียมากกว่า ใครที่อยากจะดูหนังแนวแวมไพร์ที่มีความสมจริง ก็อาจจะถูกใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และอย่างที่รู้กันดีว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างมากนวนิยายที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว จึงได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วโลกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับเหล่าแฟนนวนิยายที่ต่างรอคอยให้สิ่งที่ถูกแต่งขึ้นมาให้กลายเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น และเมื่อภาพยนตร์ชุด Twilight ถูกสร้างออกมาก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างที่คาดเอาไว้

            ถึงแม้เรื่องราวของความรักต่างเผ่าพันธุ์ระหว่างมนุษย์และแวมไพร์จะจบลงไปแล้ว แต่ก็ยังสามารถย้อนกลับไปรำลึกบรรยากาศเก่า ๆ จากภาพยนตร์ชุด Twilight ได้ เชื่อว่าใครหลายคนคงกลับไปดูกันอีกหลายครั้ง และถือเป็นภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลให้กับนักเขียนทั้งหลายที่อยากจะสร้างโลกเหนือจินตนาการบ้างได้เป็นอย่างดี

วิดีโอเพิ่มเติม :

#หนังชุด Twilight #หนังภาค่อแนะนำ #ภาพยนตร์ชุดห้ามพลาด

แนะนำหนังดีเรื่อง La la land

La la land ภาพยนตร์น้ำดีที่ได้รับรางวัลการันตีคุณภาพมากมาย เป็นภาพยนตร์ Musical แนวรักโรแมนติก ที่เป็นที่จดจำของผู้ชมทั่วโลก ถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือการกำกับของ “Damien Chazelle” และแสดงนำโดยนักแสดงมากฝีมืออย่าง “Ryan Gosling” และ “Emma Stone” ซึ่งสามารถแสดงบทบาทที่ได้รับออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้ La la land เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างถล่มทลาย

เรื่องย่อของภาพยนตร์เรื่อง La la land

เรื่องราวของหนุ่มสาวที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งแสงสีอย่างลอสแอนเจลีส ที่ต่างคนก็ต่างมีความคิดความฝันเป็นของตนเอง “มีอา” คือหญิงสาวผู้มีความใฝ่ฝันอยากจะมีชื่อเสียงในฐานะนักแสดง เธอได้พบกับ “เซบาสเตียน” ชายผู้รักในการเล่นเปียโนและเพลงแจ๊ซ เขามีความฝันอยากจะให้คนรู้จักเสียงเพลงของเขา ทั้งคู่ตกหลุมรักกันในเมืองแห่งนี้ และแล้วจุดพลิกผันของความสัมพันธ์ก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อทั้งสองต้องอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หนึ่งคนตกงาน หนึ่งคนกำลังผิดหวัง ทำให้ระหว่างพวกเขากำลังเกิดรอยแตกหักมากขึ้นเรื่อย ๆ บททดสอบการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งแสงสีครั้งนี้กำลังนำพาพวกเขาไปยังสิ่งที่คาดไม่ถึง และระหว่างความฝันและความรัก ทั้งสองสิ่งจะสามารถเดินทางไปได้สุดหนทางจริงหรือไม่ หรือปลายทางจะเป็นจุดมุ่งหมายที่เติมเต็มความฝันได้สำเร็จกันแน่

สิ่งที่น่าสนใจในภาพยนตร์เรื่อง La la land

            สิ่งที่น่าสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการสร้างเพลงประกอบที่มีหลากหลายเพลงให้ได้ฟัง ซึ่งแต่ละเพลงก็ล้วนแล้วแต่มีความหมายที่ดี ใช้ช่วยสื่ออารมณ์ในงานแสดงได้อย่างชัดเจน สร้างบรรยากาศให้รู้สึกเข้าถึงบริบทเดียวกันกับตัวละครภายในเรื่องได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังต้องยอมรับในเรื่องของ Production ว่าได้ทำการถ่ายทำออกมาได้อย่างสวยงาม ทำให้บรรยากาศเมืองลอสแอนเจลีสยิ่งดูน่าเที่ยวชมมากขึ้นไปอีก ทุก ๆ องค์ประกอบทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความกลมกล่อม และสามารถดูได้แบบไม่มีเบื่อตั้งแต่ต้นจนจบ จังหวะการดำเนินเรื่องก็อยู่ในระดับดีเยี่ยม มีหลากหลายอารมณ์ให้ได้ติดตามไปพร้อม ๆ กัน

            แน่นอนว่าภาพยนตร์เรื่อง La la land เป็นภาพยนตร์คุณภาพที่เหมาะกับผู้ชมทุกเพศทุกวัน เป็นภาพยนตร์ที่เป็นตัวแทนบอกเล่ามุมมองของคนช่างฝัน สามารถให้กำลังใจผู้ชมผ่านการแสดงและบทเพลงต่าง ๆ ได้ เชื่อว่าใครที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงรู้สึกมีความสุขกับทุกสิ่งที่ได้รับมา และจะเป็นการดีมากถ้าหากแนะนำภาพยนตร์เรื่องนี้ให้คนที่รักได้ดูสักครั้ง รับรองว่าสนุกครบรส ได้ทุกความรู้สึก และจะต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือภาพยนตร์ที่ไม่ควรพลาด

วิดีโอตัวอย่าง :

#La la land #หนังดีห้ามพลาด #หนังเพลงน่าดู

แนะนำหนัง Disney+ รวม 4 หนังสนุกแบบ Girl Power หนังผู้หญิง ที่น่าประทับใจ

ถ้าหากพูดถึงหนัง Disney หลาย ๆ คนอาจจะมีภาพนึกไว้ในหัวแล้วเรียบร้อย เพราะหนังดิสนีย์นั้นนอกจากเนื้อเรื่องอันสุดเข้มข้นแล้ว ยังมีการนำเสนอแง่มุมทางสังคมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเชื้อชาติ สีผิว และเพศ และแน่นอนว่าใน Disney+ ก็มีหนังที่แยกประเภทไว้ให้สำหรับผู้หญิงด้วย บทความนี้เลยจะมาแนะนำ หนัง Girl Power เป็นหนังผู้หญิง ที่ดูแล้วได้แง่คิด มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ไปดูกันว่าจะมีเรื่องไหนที่น่าสนใจกันบ้าง

1. หนัง Girl Power ดิสนีย์พลัส – The Devil Wears Prada

หนังเรื่องนี้เป็นหนังในตำนาน ที่หลาย ๆ คนโหลดสตรีมมิ่งดิสนีย์พลัสมาแล้วจะต้องกดดูกันทุกคน เพราหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ทรงพลังในเกือบทุกตัวละครกันเลยทีเดียว โดยที่หนังเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ แอนเดรีย หญิงสาวธรรมดา ๆ แต่เธอไม่มีหัวเรื่องแฟชั่นนัก ได้มาทำงานให้กับมิแรนด้าน ผู้กุมบังเหียนในวงการแฟชั่นขณะนั้น ซึ่งแน่นอนว่าการทำงานของเธอไม่ได้ราบรื่น แต่เธอก็พยายามปรับตัวเพื่อเป็นที่ยอมรับให้ได้

2. หนัง Girl Power ดิสนีย์พลัส – Mulan

หากพูดถึงหนังที่แสดงถึงความเป็น Girl Power เรื่องนี้จะต้องอยู่ในลิสต์อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในเวอร์ชั่นของ Live-Action ที่ใส่เรื่องความเป็นพลังหญิงมาแบบเต็มที่ แตะเรื่องโรแมนติคน้อยกว่าในเวอร์ชั่นการ์ตูนเยอะ โดยเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับเด็กสาวที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อไปรบแทนพ่อของตัวเอง เป็นหนังที่พิสูจน์ตัวเอง ดูแล้วได้แรงบันดาลใจมาก ๆ

3. หนัง Girl Power ดิสนีย์พลัส – Maleficent

หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่บทดีมาก ๆ ดีเกินความคาดหมายของใครหลาย ๆ คน ตอนที่เรื่องนี้ออกมา เพราะเป็นการพลิกบทบาทของตัวร้ายในการ์ตูน ให้มาเห็นแง่มุมอีกมุมหนึ่งของผู้หญิงที่เคยอ่อนแอ กลายมาเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมาก ๆ โดยเป็นเรื่องราวแง่มุมของตัวร้ายในเรื่องเจ้าหญิงนิทรา อย่างมาเลฟีเซนต์ โดยในเรื่องนี้จะเล่าถึงเหตุผลที่มาที่ไปว่าทำไมเธอถึงสาปออโรร่า

4. หนัง Girl Power ดิสนีย์พลัส – Brave

หนังการ์ตูนดิสนีย์เรื่องนี้ตอนที่ออกมานั้นค่อนข้างเปิดโลกสำหรับใครหลาย ๆ คนเลย เพราะเรื่องนี้ไม่จำเป็นจะต้องมีเจ้าชายรูปงามแบบในหลาย ๆเรื่อง เป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงหัวขบถที่กล้าหาญ เลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เป็นหนังการ์ตูนที่ดูแล้วได้กำลังใจในการใช้ชีวิต ให้เลือกชีวิตที่ตัวเองต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องไปสนเสียงรอบข้างที่บอกให้เราทำแบบนั้นแบบนี้ บอกเลยว่าเป็นหนึ่งใน หนัง Girl Power ที่สนุกมาก ๆ เรื่องหนึ่ง

#หนังดิสนีย์ #Girl Power #ดูแล้วประทับใจ #แนะนำหนัง Disney+

แนะนำหนัง Disney+ รวม 4 หนังร้องเพลง เนื้อเรื่องสนุก เพลงเพราะ ที่คุณต้องดู !

ถ้าหากพูดถึงหนังดิสนีย์ หลาย ๆ คน จะต้องนึกถึงหนังร้องเพลง หนังเพลงต่าง ๆ หนังที่มีการร้องเพลงสอดแทรกเข้าไปในฉากต่าง ๆ บอกเลยว่าหากคุณชื่นชอบหนังแนวนี้ สตรีมมิ่งมาแรงอย่าง Disney+ มีแบบจัดเต็มกันเลยทีเดียว ทั้งหนัง การ์ตูน มีหมด บทความนี้เลยจะมาแนะนำ หนังเพลง Disney+ ที่คุณควรจะต้องดูสักครั้งในชีวิต รับรองว่าเพลงก็เพราะ เนื้อเรื่องก็สนุก ประทับใจทุกเรื่องอย่างแน่นอน

1. หนังเพลง Disney+ แนะนำ – Descendants

หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบหนังร้องเพลงของดิสนีย์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพลาดเรื่องนี้ เพราะได้มัดรวมความเป็นเทพนิยายแบบดิสนีย์และการร้องเล่นเต้นรำ แถมยังมีเรื่องราวของมิตรภาพ และความโรแมนติค อยู่ในเรื่องนี้ด้วย บอกเลยว่าครบถ้วนตามสไตล์ดิสนีย์ โดยจะเป็นเรื่องราวของลูกหลานของตัวละครฝั่งร้าย ที่วันหนึ่งได้รับโอกาสไปร่ำเรียนในฝั่งที่มีแต่ละตัวครดี ๆ งานนี้เรื่องวุ่น ๆ จึงเกิดขึ้น

2. หนังเพลง Disney+ แนะนำ – Aladdin

หนังเรื่องนี้เป็นหนัง Live-Action ที่โด่งดังมาก ๆ ไม่มีใครไม่ชอบเรื่องนี้ แถมหนังอลาดินในเวอร์ชั่นนี้ก็มีเพลงเพราะ ๆ อยู่หลายเพลง ต้องบอกเลยว่าแต่ละเพลงนั้น กลายเป็นฮิตติดชาร์ตด้วยล่ะ หนังเรื่องนี้คุณจะได้ดูความแฟนตาซีตระการตา จัดเต็มเรื่องงานร้องงานเต้น งานเสื้อผ้าคอสตูมก็ไม่แผ่ว เป็นหนังดิสนีย์น่าดูที่คุณไม่ควรพลาด หากเป็นแฟนคลับของเจ้าหญิงจัสมิน

3. หนังเพลง Disney+ แนะนำ – Coco

แน่นอนว่าการ์ตูนดังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเสียงดนตรีอย่างเรื่องนี้ จะหลุดโผไปได้อย่างไร เป็นหนึ่งในการ์ตูนแนะนำที่สร้างความประทับใจให้กับคนที่ได้ดูทุกคน มีทั้งความตลกและความซึ้ง ที่สำคัญเพลงในนี้ก็เป็นเพลงติดหู จังหวะสนุก ๆ โดยที่เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่อยากจะเป็นนักดนตรี แต่ว่าครอบครัวของเขานั้นสั่งห้ามเรื่องการเล่นดนตรี และเมื่อวันหนึ่งเขาได้หลุดเข้าไปในโลกหลังความตาย การตามหาญาติที่เป็นนักดนตรีเพียงคนเดียวของเขาจึงเริ่มขึ้น

4. หนังเพลง Disney+ แนะนำ – High School Musical

ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์วัยรุ่นที่โด่งดังมาก ๆ ในยุคหนึ่ง เป็นซีรีส์เกี่ยวกับการร้องเพลง ละครเวทีของโรงเรียน ซีรีส์เรื่องนี้จะมีความเป็นหนังวัยรุ่นที่ทุกคนจะต้องถูกใจอย่างแน่นอน เพราะทั้งเรื่องความรัก ความคอมเมดี้ มีมาพร้อมในซีรีส์เรื่องนี้ ที่สำคัญนักแดสงชายหญิงในเรื่องก็น่ารักแบบสุด ๆ ไปเลย บอกเลยว่าถ้าชื่นชอบ หนังร้องเพลง หนังเพลงดิสนีย์ ซีรีส์เรื่องนี้คือสิ่งที่พลาดไม่ได้

#หนังร้องเพลง #หนังดิสนีย์ #เพลงดิสนีย์ #หนังดิสนีย์พลัส ที่ต้องดูให้ได้

รีวิวภาพยนตร์เรื่อง Take me Home สุขสันต์วันกลับบ้าน

ภาพยนตร์เรื่อง Take me Home สุขสันต์วันกลับบ้าน เป็นภาพยนตร์ไทยแนวสยองขวัญ ระทึกขวัญ ผลงานการกำกับของ ก้องเกียรติ โขมศิริ ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของแทน ชายหนุ่มที่โชคร้ายเพราะประสบอุบัติเหตุจนความจำเสื่อม เขาไม่สามารถจำอะไรได้เลยนอกจากชื่อของตัวเอง เขาจึงพยายามหาข้อมูลมาตลอดว่า เขาคือใคร และครอบครัวเขาอยู่ที่ไหน จนวันหนึ่ง แทนได้พบหลักฐานบางอย่าง ซึ่งจะนำพาเขากลับบ้านอันแสนสุขของเขาอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นักแสดงมากความสามารถมากมายมาร่วมแสดงไม่ว่าจะเป็นมาริโอ้ เมาเร่อ ที่มารับบทเป็น แทน ชายหนุ่มที่ความจำเสื่อมจากการประสบอุบัติเหตุ และไม่สามารถจำอะไรได้เลยนอกจากชื่อของตัวเอง คนต่อมาคือวรรณรท สนธิไชย มารับบทเป็น ทับทิม สาวฝาแฝดของ แทน ที่แต่งงานอยู่กินกับ ชีวิน คนต่อมาคือปีเตอร์ นพชัย มารับบท ชีวิน พ่อหม้ายลูกสองสามีของพี่สาวฝาแฝดแทน และคนสุดท้ายที่จะมาแนะนำในวันนี้คือนภาดา สุขกิจ มารับบทเป็น แวว แม่บ้านผู้เลี้ยงดูแทนมาตั้งแต่เด็ก

โดยภาพยนตร์เรื่อง Take me Home สุขสันต์วันกลับบ้าน เป็นภาพยนตร์เมื่อปี 2559

เนื้อเรื่องย่อของภาพยนตร์เรื่อง Take me Home สุขสันต์วันกลับบ้าน

ภาพยนตร์เรื่อง Take me Home สุขสันต์วันกลับบ้าน เปิดเรื่องราวมาที่แทน บุรุษพยาบาลผู้สูญเสียความทรงจำหลังจากเกิดอุบัติเหตุรุนแรง เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร เขาทำงานในโรงพยาบาลและพยายามค้นหาว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน จนเขาได้พบเรื่องราวของตัวเองผ่านหน้าหนังสือพิมพ์สมัยเก่า เขาจึงไม่รอช้าที่จะรีบเดินทางกลับไปยังบ้านที่เขาเคยจากมา ทันทีที่เดินทางกลับมาถึง เขาได้พบกับ ทับทิม พี่สาวฝาแฝดของเขา เรื่องราวก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ในบ้านหลังนี้กลับมีเรื่องราวไม่ชอบมาพากล นำไปสู่เรื่องสยองขวัญอันแสนเจ็บปวด บทสรุปของเรื่องจะเป็นอย่างไรติดตามชมได้ในภาพยนตร์เรื่อง Take me Home สุขสันต์วันกลับบ้าน

ความประทับใจหลังดูภาพยนตร์  Take me Home สุขสันต์วันกลับบ้าน

ภาพยนตร์เรื่องนี้สนุกด้วยเนื้อหาของเรื่อง แต่ก็ต้องยอมรับว่าด้วยเนื้อหาที่ซับซ้อนผสมแฟนตาซีแบบสุดๆ จึงไม่ใช่หนังที่ทุกคนจะดูแล้วเข้าใจได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นระหว่างที่ดูเราๆจึงอาจจะต้องตั้งใจดูเป็นพิเศษเพราะเมื่อพลาดสักฉากแล้วก็อาจจะไม่เข้าใจเนื้อเรื่องที่เหลือก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้นความน่ากลัว ภาพ เสียง หนังก็สามารถทำออกมาได้ดี รับรองว่าเมื่อดูจบต้องมีขวัญผวากันไปตามๆกันอย่างแน่นอนกับภาพยนตร์ไทยสยองขวัญเรื่อง Take me Home สุขสันต์วันกลับบ้าน

คะแนนของเรื่อง 8/10

อ้างอิงภาพจาก www.jediyuth.com

#หนังไทยระทึกขวัญ #สุขสันต์วันกลับบ้าน #รีวิวหนังไทย

รีวิวภาพยนตร์ IT 2 จุดจบของเรื่องราวจากจุดเริ่มต้น

     เมื่อประมาณปีที่แล้ว ฉันมีโอกาสได้ไปดูภาพยนตร์ที่เฝ้ารอคอยมานาน จนมีกำหนดการออกมาว่า IT 2 จะเข้าฉายในโรงวันที่ 5 กันยายน จากแฟนนิยายของนักเขียนชื่อดัง Stephen King ที่เขียนเรื่อง IT ขึ้นมา และได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ไปแล้วในปี 2017 และได้รับกระแสตอบรับจากผู้ชมทั่วโลก แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องในนิยายค่อนข้างยาว ทำให้ภาพยนตร์ไม่สามารถเล่าจบได้ภายใน 2 ชั่วโมงกว่า ๆ จึงต้องแบ่งออกเป็น 2 ภาค

ขอบคุณเครดิตภาพปกจาก movie.kapook

IT 2 เปิดฉากปฐมบทด้วยเรื่องของการจากลา ณ จุดเริ่มต้น

     ในภาพยนตร์ภาคแรก การทิ้งท้ายของเรื่องอยู่ที่กลุ่มเด็กขี้แพ้จากเมืองเดอรรี่ ได้ไล่เจ้าตัวตลก Penny Wise ให้กลับลงไปในท่อเหมือนเดิม ก่อนที่พวกเขาจะให้คำมั่นสัญญากันว่า จะกลับมาจัดการมันอีก ถ้ามันกลับขึ้นมา ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไป และเติบโตขึ้นตามเส้นทางของตัวเอง

ขอบคุณเครดิตภาพจาก Netflix

     พอมาในภาคนี้ IT 2 เป็นเรื่องราวที่ต่อจากภาคแรก เป็นเรื่องราว 27 ปีให้หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก พวกเด็ก ๆ จากแก้งค์เด็กขี้แพ้ ได้เติบโตไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง มีงาน มีครอบครัวในเมืองอื่น มีเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ยังคงอาศัยอยู่ในเมืองเดอรี่ นั่นก็คือ ไมค์ เด็กหนุ่มผิวสีที่เคยร่วมต่อสู้เพื่อไล่เจ้าตัวตลก จากความสงบสุขของเมืองเดอรี่ประมาณ 27 ปี เริ่มมีเหตุการณ์เด็กหายเกิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้ไมค์รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของเจ้า Penny Wise แน่นอน เขาจึงได้โทรบอกเพื่อน ๆ ให้กลับมาเจอกันที่เมืองนี้อีกครั้ง พร้อมทวงสัญญาที่พวกเขาเคยสัญญาต่อกันไว้ การกลับมาของพวกเขาในคราวนี้เป็นการรอคอยของเจ้าเพนนีไวซ์ที่รอคอยที่จะแก้แค้นพวกเขา แต่ตัวพวกเขาเองกลับรู้สึกกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับมันอีก ถึงแม้ร่างกายของพวกเขาจะโตแค่ไหน แต่ความกลัวลึก ๆ ในใจกับเรื่องราวในอดีตยังคงหลอกหลอนพวกเขาอยู่ นั่นเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เพนนี่ไวซ์ชอบ

     สำหรับเรื่องราวในภาค 2 จะเข้มข้นขึ้นจากภาคแรก ความสดใสในวัยเด็กได้หายไป จากภาคแรกที่เวลาเราดูยังให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเรื่องราวไปในวัยเด็กของตัวเอง อารมณ์เหมือนดูเรื่องแฟนฉัน แต่ภาค 2 จะเป็นชีวิตของผู้ใหญ่ ความรักในแบบผู้ใหญ่ แต่ดีกรีความน่ากลัวของเจ้าตัวตลกที่แรงกว่าเดิม ความโหดที่มากกว่าเดิม ในภาคนี้ฉันรู้สึกชอบตัวละครเบนเป็นพิเศษ เพราะเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการที่สุด มีความกล้าหาญและเสียสละที่สุด ได้ทั้งรอยยิ้มและน้ำตา แต่ภาพรวมยังถือว่าประทับใจ แม้ว่าตอนอ่านหนังสือจะชอบในหนังสือมากกว่าก็ตาม ฉันจึงให้คะแนนอยู่ที่ 8/10 

วิดีโอตัวอย่าง :

#รีวิวภาพยนตร์ #IT 2 #หนังสยองต้องดู

รีวิว Paper Town นครแห่งกระดาษ

Paper town มหานครแห่งเมืองกระดาษ ภาพยนตร์ที่มีการผสมผสานระหว่างความดราม่า ตลกร้าย และสืบสวนสอบสวน ที่เหมาะกับสังคมในปัจจุบันที่ผู้คนใส่หน้ากากหันหน้าเข้าหากันในทุกวัน

ขอขอบคุณเครดิตภาพปกจาก thefilmfav.blogspot

เส้นเรื่องของ Paper town จะเล่าถึงเรื่องราวของตัวละครเอก 2 คน คือ มาร์โก (รับบทโดย Cara Delevingne) กับเพื่อนสนิทสุดซี้ เควลติน (รับบทโดย Nat Wolff) ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก แต่มีนิสัยใจคอต่างกันสุดขั้ว อย่างมาร์โก เธอจะเป็นสาวช่างลุย ชอบความลึกลับและปริศนา ผู้คนในเมืองมักจะมองว่าเธอค่อนข้างแปลกแยก เพราะพฤติกรรมแปลก ๆ ของเธอ ส่วนเควลติน จะเป็นเด็กหนุ่มที่แอบชอบมาร์โกมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาไม่กล้าบอกเธอ เพราะเขาเป็นผู้ชายขี้อาย ไม่กล้าเปิดเผย หรือแสดงตัวตนออกมาให้ใครเห็น เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ มาร์โก ได้หายตัวไปอย่างลึกลับจากเมือง หลังจากคืนหนึ่งที่เธอกับเควลตินได้ไปทำภารกิจสุดแสบด้วยกัน เธอหายตัวไปพร้อมทิ้งร่องรอยปริศนาเอาไว้ จนทำให้เควลตินต้องออกไปตามหาเธอกับเพื่อนอีก 4 คน คือ เบ็น เลซี่ แองเจร่า และเรดาห์ พวกเขาออกเดินทางตามหามาร์โก ตามปริศนาร่องรอยที่เธอที่เอาไว้

ตัวของภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของการเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลาย เรื่องราวของการใช้ชีวิตที่ได้เสียดสีสภาพสังคมในปัจจุบันอย่างเจ็บแสบ ทั้งเรื่องของการเรียนที่ทุกคนต้องทำตามแบบแผนที่สังคมกำหนดเป็นบรรทัดฐาน ราวกับว่าเป็นเมืองที่ถูกตราไว้ในกระดาษแผ่นนึง ถึงแม้จะไม่มีกฎตายตัว แต่ถ้าไม่ทำตามสิ่งเหล่านี้ก็จะดูเหมือนเป็นเรื่องแปลกแยก ตัวของหนังส่วนใหญ่จะเป็นการผจญภัยของเหล่าวัยรุ่นทั้ง 5 ในระหว่างการเดินทางก็สอดแทรกเรื่องราวต่าง ๆ ให้ผู้ชมได้คิดกันตลอด มีทั้งการผจญภัย การพบเจอปัญหาและอุปสรรค การช่วยกันไขปริศนา รวมถึงมิตรภาพที่ดีระหว่างการเดินทาง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีฉากแอกชันที่ตื่นเต้น หรือฉากเร้าร้อนทางอารมณ์มากเท่าไหร่ ออกจะดูเรื่อย ๆ เรียบซะมากกว่า จึงไม่เหมาะกับคนที่ชอบดูหนังตื่นเต้น แต่สำหรับใครที่ชอบดูหนังแบบเก็บรายละเอียด ซึมซับบรรยากาศ ก็สามารถดูเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะตัวของหนังได้มีการสอดแทรกแนวคิดทางปรัชญาให้คนดูได้มองย้อนหลังมาดูชีวิตของแต่ละคนว่าทำอะไรดีพอหรือยัง หรือสิ่งที่ทำไป ทำเพื่ออะไร เพื่อใคร

วิดีโอตัวอย่าง :

     สำหรับผู้เขียนให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้ 9/10 ส่วนที่ดีที่สุด คือ แนวคิดที่ภาพยนตร์พยายามสอดแทรกเข้ามาแบบไม่ยัดเยียด นักแสดงนำที่น่าดึงดูดอย่างคาร่าที่จะทำให้ทุกคนโลดแล่นไปในเมืองที่ชื่อ “Paper town” กัน

#Paper Town #รีวิวหนังน่าดู #หนังเก่าแนะนำ